เมนู

อุรควรรคที่ 1



อรรถกถาเขตตูปมาเปตวัตถุที่ 1



ก็ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน
กลันทกนิวาปวิหาร ใกล้กรุงราชคฤห์ จึงทรงปรารภเปรตบุตรเศรษฐี
คนหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนั้นดังต่อไปนี้ :-
ได้ยินว่า ในกรุงราชคฤห์ ได้มีเศรษฐีคนหนึ่ง เป็นคน
มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีเครื่องปกรณ์แห่งทรัพย์ที่น่า
ปลื้มใจอย่างมากมาย สั่งสมทรัพย์ไว้เป็นจำนวนหลายโกฏิ. ได้มีบุตร
คนเดียว น่ารัก น่าชอบใจ. เมื่อบุตรนั้น รู้เดียงสา บิดามารดา
จึงพากันคิดอย่างนี้ว่า เมื่อบุตรของเราจ่ายทรัพย์ให้สิ้นเปลืองไป
วันละ 1,000 ทุกวัน แม้ถึงร้อยปี ทรัพย์ที่สั่งสมไว้นี้ ก็ไม่หมดสิ้นไป.
จะประโยชน์อะไร ด้วยการที่จะให้บุตรนี้ลำบากในการศึกษาศิลปะ
ขอให้บุตรนี้จงมีความไม่ลำบากกายและจิต บริโภคโภคสมบัติ
ตามสบายเถิด ดังนี้แล้ว จึงไม่ให้บุตรศึกษาศิลปะ. ก็เมื่อบุตร
เจริญวัยแล้ว มารดาบิดาได้นำหญิงสาวแรกรุ่น ผู้สมบูรณ์ด้วยสกุล
รูปร่างความเป็นสาว ละความงาม ผู้เอิบอิ่มด้วยกามคุณ บ่ายหน้า
ออกจากธรรมสัญญา. เขาอภิรมย์อยู่กับหญิงสาวนั้น ไม่ให้เกิดแม้
ความคิดถึงธรรม ไม่มีความเอื้อเฟื้อ ในสมณพราหมณ์และคนที่ควร
เคารพ ห้อมล้อมด้วยพวกนักเลง กำหนัด ยินดี ติดอยู่ในกามคุณ 5

เป็นผู้มืดมนธ์ไปด้วยโมหะ ให้เวลาผ่านไป เมื่อมารดาบิดา ถึง
แก่กรรมลง ให้สิ่งที่ปรารถนาแก่ นักรำ นักร้อง เป็นต้น ผลาญ
ทรัพย์ให้วอดวายไป ไม่นานเท่าไรนัก ก็สิ้นเนื้อประดาตัว (เที่ยว)
ขอยืม (เงิน) เลี้ยงชีวิต ยืมหนี้ไม่ได้อีก ถูกพวกเจ้าหนี้ ทวงถาม
ก็ต้องให้ที่นาที่สวนและเรือนเป็นต้น ของตนแก่พวกเจ้าหนี้เหล่านั้น
ถือกระเบื้อง เที่ยวขอทานกิน พักอยู่ที่ศาลาคนอนาถา ในพระนคร
นั้นนั่นแล.
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พวกโจร มาประชุมกัน กล่าวกะเขา
อย่างนี้ว่า นายผู้เจริญ ท่านจะมีประโยชน์อะไรด้วยการเป็นอยู่
ลำบากอย่างนี้ ท่านยังเป็นหนุ่ม มีเรี่ยวแรงกำลังก็สมบูรณ์ เหตุไฉน
ท่านจึงอยู่เหมือนมีมือเท้าพิกล มาเถิด มาร่วมกับพวกเรา (เที่ยว)
ปล้นทรัพย์พวกชาวบ้านแล้ว เป็นอยู่สบายดี. ชายคนนั้น พูดว่า
เราไม่รู้วิธีทำโจรกรรม. พวกโจรตอบว่า พวกเราจะสอนให้เธอ
ขอให้เธอจงเชื่อคำของพวกเราอย่างเดียว. ชายนั้นรับคำแล้ว
ได้ไปกับพวกโจรเหล่านั้น. ลำดับนั้น พวกโจรเหล่านั้น ใช้ให้เขาถือ
ฆ้อนใหญ่ ตัดช่องย่องขึ้นเรือน ให้เขายืนตรงที่ปากช่องแล้วสอนว่า
ถ้าคนอื่นมาในที่นี้ เจ้าจงเอาไม้ฆ้อนนี้ทุบผู้นั้นทีเดียวให้ตายเลย.
เขาเป็นคนบอดเขลา ไม่รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์
ได้ยืนอยู่แต่ในที่นั้น มองดูทางมาของคนเหล่าอื่นอย่างเดียว. ฝ่าย
พวกโจร เข้าไปยังเรือนแล้ว ถือเอาสิ่งของที่ควรถือเอาไปด้วย
พอพวกคนในเรือนรู้ตัวเท่านั้น ก็พากันหนีไปคนละทิศ คนละทาง.

พวกคนในเรือน ลุกขึ้น ต่างก็พากันวิ่งขับโดยเร็ว พร้อมกับ
ข้างโน้นข้างนี้ เห็นชายคนนั้น ยืนอยู่ตรงช่องประตู เฮ้ย คนร้าย
แล้วพากันจับไว้ เอาไม้ฆ้อนเป็นต้น ทุบมือและเท้าแล้ว กราบทูล
แสดงแด่พระราชาว่า ขอเดชะ คนนี้เป็นโจร ข้าพระองค์จับได้ที่
ปากช่อง. พระราชาทรงมีพระบัญชาให้ผู้รักษาพระนครลงโทษ
ด้วยพระดำรัสว่า จงตัดศีรษะของผู้นี้. ผู้รักษาพระนคร รับสนอง
พระบรมราชโองการแล้ว จึงให้จับชายคนนั้นแล้ว ให้มัดไพล่หลัง
อย่างมั่นคง ให้ตระเวนเขา ผู้ถูกคล้องคอด้วยพวงมาลัยสีแดงห่าง ๆ
มีศีรษะเปื้อนด้วยผงอิฐ ตามทางที่เขาแสดงด้วยกลอง ตีประจาน
โทษ จากทางรถบรรจบทางรถ จากทางสี่แพร่งบรรจบทางสี่แพร่ง
แล้ว ให้เฆี่ยนด้วยหวาย พลางนำไปยังสถานที่ประหารชีวิต.
ประชาชนพากันแตกตื่นว่า ในพระนครนี้ เขาจับโจรปล้นสะดมภ์
คนนี้ได้.
ก็สมัยนั้นในพระนครนั้น มีหญิงงามเมือง คนหนึ่ง ชื่อว่า
สุลสา ยืนอยู่ที่ปราสาทมองไปตามช่องหน้าต่าง เห็นชายคนนั้น
ถูกนำไปอย่างนั้น เธอเคยถูกชายผู้นั้นบำเรอมาในกาลก่อน จึง
เกิดความสงสารชายคนนั้นขึ้นว่า ชายคนนี้ เคยเสวยสมบัติเป็น
อันมาก ในพระนครนี้เอง บัดนี้ถึงความพินาศวอดวายถึงเพียงนี้
จึงส่งขนมต้ม 4 ลูก และน้ำดื่มไปให้. และได้แจ้งให้ผู้รักษา
พระนครทราบว่า ขอเจ้านาย จงรอจนถึงชายผู้นี้กินขนมต้มเหล่านี้
แล้วดื่มน้ำก่อน.

ครั้นในระหว่างนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ตรวจดูด้วย
ทิพยจักษุ เห็นชายคนนั้นจะถึงความวอดวาย ด้วยแรงกรุณาเตือนใจ
คิดว่า ชายคนนี้ ไม่เคยทำบุญ ทำแต่บาป เพราะฉะนั้น ชายผู้นี้
จักเกิดในนรก ครั้นพอเราไป เขาถวายขนมต้มและน้ำดื่มแล้ว
จักเกิดในภุมมเทพ ไฉนหนอ เราจะพึงเป็นที่พึ่งของชายผู้นี้ ดังนี้
แล้วได้ไปปรากฏข้างหน้าของชายผู้นั้น ในขณะที่เขานำน้ำดื่ม
และขนมต้มเข้าไปให้. เขา ครั้นเห็นพระเถระก็มีจิตเลื่อมใส คิดว่า
เราผู้จะถูกคนเหล่านี้ฆ่าในบัดนี้เอง จะมีประโยชน์อะไร ด้วยขนมต้ม
ที่เราจะกินเข้าไป ก็ผลทานี้ จักเป็นเสบียงสำหรับคนไปสู่ปรโลก
จึงให้เขาถวายขนมต้มและน้ำดื่มแด่พระเถระ. เพื่อจะเจริญความ
เลื่อมใสของชายผู้นั้น เมื่อชายผู้นั้น กำลังดูอยู่นั่นแหละ พระเถระ
จึงนั่งในที่เช่นนั้น ฉันขนมต้มและดื่มน้ำแล้ว ลุกจากอาสนะหลีกไป.
ฝ่ายชายผู้นั้น จกเพชฌฆาตนำไปสู่ที่ประหาร แล้วให้ถึงการตัด
ศีรษะ ด้วยบุญที่เขาทำไว้ในพระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้เป็น
บุญเขต อย่างยอดเยี่ยม แม้จะเป็นผู้ควรจะเกิดในเทวโลก ชั้นเยี่ยม
แต่เพราะเหตุที่เธอมีจิตเศร้าหมองในเวลาใกล้จะตาย เพราะความ
เสน่หาที่มุ่งถึงนางสุลสาว่า เราได้ไทยธรรมนี้ เพราะอาศัย
นางสุลสา ฉะนั้น เมื่อจะเกิดเป็นหมู่เทพชั้นต่ำ จึงเกิดเป็นรุกขเทวดา
ที่ต้นไทรใหญ่ มีร่มเงาอันสนิท อันเกิดแทบภูเขา.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า "ได้ยินว่า ถ้าในปฐมวัย เขาจักได้
ขวนขวายในการดำรงวงศ์กุลไซร้ เขาจักเป็นผู้เลิศกว่าเศรษฐี

ทั้งหลาย ในพระนครนั้นนั่นเอง ถ้าขวนขวายในมัชฌิมวัย เขาจัก
เป็นเศรษฐีวัยกลางคน ถ้าขวนขวายในปัจฉิมวัย เขาก็จักเป็น
เศรษฐีในวัยสุดท้าย. แต่ถ้าในปฐมวัยเขาจักได้บวชไซร้ เขาก็จัก
ได้เป็นพระอรหันต์. ถ้าบวชในมัชฌิมวัย เขาก็จักได้เป็นพระ-
สกทาคามี หรือพระอนาคามี. ถ้าบวชในปัจฉิมวัย เขาก็จักได้เป็น
พระโสดาบัน. แต่เพราะเขาคลุกคลีด้วยบาปมิตร เขาจึงเป็น
นักเลงหญิง นักเลงสุรา ยินดีแต่ในทุจริต เป็นคนไม่เอื้อเฟื้อ
เสื่อมจากสมบัติทั้งปวง ถึงความย่อยยับอย่างใหญ่หลวง โดยลำดับ."
ครั้นสมัยต่อมา เทพบุตรนั้นเห็นนางสุลสาไปสวน เกิด
กามราคะ เนรมิตให้มืดแล้วนำนางไปยังภพของตน สำเร็จการอยู่
ร่วมกับนางสิ้น 7 วัน และได้แนะนำตนแก่นาง. มารดาของนาง
เมื่อไม่เห็นนาง ร้องไห้พลางวิ่งพล่านไปข้างโน้นข้างนี้. มหาชน
เห็นเข้าจึงกล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้ามหาโมคคัลลานะ เป็นผู้มีฤทธิ์มาก
มีอานุภาพมาก จะพึงรู้คติของนาง ท่านพึงเข้าไปหาท่านแล้ว
ไต่ถามเถิด. นางรับคำแล้วเข้าไปหาท่าน ถามความนั้น. พระเถระ
กล่าวว่า ในวันที่ 7 แต่วันนี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม
ในพระเวฬุวันมหาวิหาร เธอจักเห็น ณ ที่สุดบริษัท. ลำดับนั้น
นางสุลสาได้กล่าวกะเทวบุตรนั้นว่า ข้อที่เราอยู่ในภพของท่าน
ไม่สมควร วันนี้ เป็นวันที่ 7 มารดาของฉันเมื่อไม่เห็นฉัน ก็จัก
กึงความร่ำไรโศกเศร้า ดีละเทวดา ท่านจงพาฉันไปที่นั้นนั่นเถิด.
เทพบุตรพานางไปพักไว้ท้ายบริษัท ในเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า

กำลังทรงแสดงธรรมอยู่ในพระเวฬุวัน ได้ยินไม่ปรากฏตัว.
ลำดับนั้น มหาชนเห็นนางสุลสา แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า แม่สุลสา
เธอไปไหนมาตลอดวันเท่านี้ มารดาของเธอ เมื่อไม่เห็นเธอ ก็ได้
ถึงความร่ำไรโศกเศร้าเหมือนคนบ้า. นางจึงแจ้งเรื่องนั้นแก่มหาชน
และเมื่อมหาชนถามว่า อย่างไรบุรุษนั้นการทำความขวนขวาย
แต่บาปเช่นนั้น ไม่ได้ทำกุศลไว้เลย ยังเกิดเป็นเทพได้ นางสุลสา
กล่าวว่า เขาได้ถวายขนมต้มและน้ำดื่มที่เราให้ แก่ท่านพระมหา-
โมคคัลลานะ ด้วยบุญนั้น จึงได้เกิดเป็นเทพบุตร มหาชนได้กระทำ
ดังนั้น จึงได้เกิดอัศจรรย์จิตไม่เคยมี จึงได้คิดว่า เขาได้กระทำ
บุญกรรมแม้น้อย ในพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้ชื่อว่า เป็นบุญเขต
อันยอดเยี่ยมของชาวโลก จึงนำสัตว์มาเกิดเป็นเทพบุตร ดังนี้แล้ว
จึงได้เสวยปีติและโสมนัสอันโอฬาร ภิกษุทั้งหลาย กราบทูล
เนื้อความนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ลำดับนั้น เพราะอัตถุปปัติเหตุนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ทรงภาษิตคาถาเหล่านี้ว่า :-
พระอรหันต์ทั้งหลาย เปรียบด้วยนา
ทายกทายิกาทั้งพลาย เปรียบด้วยชาวนา ไทย
ธรรมเปรียบด้วยพืช ผลทาน ย่อมเกิด แต่การ
บริจาคไทยธรรม ของทายกทายิกาผู้ให้แก่
ปฏิคาหกผู้รับนั้น พืชนาและการหว่านพืชนี้
ย่อมให้เกิดผลแก่พวกเปรต และทายกทายิกา
ผู้ให้ เปรตทั้งหลาย ย่อมพากันบริโภคผลนั้น

ทายกทายิกาย่อมเจริญด้วยบุญ ทายกทายิกา
ทำกุศลในโลกนี้แล้ว อุทิศให้เปรตทั้งหลาย
ครั้นทำกรรมดีแล้ว ย่อมไปสวรรค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เขตฺตูปมา ได้แก่ ชื่อว่า นา
เพราะเป็นที่ต้านทานคือรักษา พืชที่ซัดคือที่หว่าน โดยทำภาวะ
ให้ทำผลมาก ได้แก่ สถานที่เป็นที่งอก แห่งพืชมีข้าวสาลีเป็นต้น.
พระอรหันต์ทั้งหลาย ชื่อว่า เขตตูปมา เพราะมีนาเป็นอุปมา อธิบาย
ว่า เป็นเสมือนคันนา. บทว่า อรหนฺโต ได้แก่ ท่านผู้สิ้นอาสวะ
ทั้งหลาย. จริงอยู่ ท่านผู้สิ้นอาสวะทั้งหลายเหล่านั้น ท่านเรียกว่า
พระอรหันต์ เพราะกำจัดซี่กำแห่งกิเลสเป็นต้น และซี่กำแห่ง
สังขารจักร เพราะเป็นผู้ไกลจากกิเลสเป็นต้นนั้นนั่นแล เพราะเป็น
ผู้ควรแก่ไทยธรรมมีปัจจัยเป็นต้น และเพราะไม่มีที่ลับในการ
ทำบาป.
จริงอยู่ ในข้อนั้น สันดานของพระขีณาสพ เว้นจากโทษ
มีโลภเป็นต้น ประกอบด้วยปัจจัยอื่นมีกาลเป็นต้น ในเมื่อเขาหว่านพืช
คือไทยธรรมที่ตบแต่งไว้ดีแล้ว ย่อมมีผลมากแก่ทายก เปรียบเหมือน
นาเว้นจากโทษมีหญ้าเป็นต้น ประกอบด้วยปัจจัยอื่น มีฤดูและน้ำ
เป็นต้น ในเมื่อหว่านพืชที่เขาจัดแจงไว้ดี ย่อมมีผลมากแก่ชาวนา
ฉะนั้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เขตฺตูปมา
อรหนฺโต ดังนี้เป็นต้น. นี้เป็นนิเทศอย่างอุกฤษฏ์ เพราะไม่ปฏิเสธว่า
แม้พระอริยบุคคลมีพระเสขะเป็นต้นว่า เป็นเขตของทายกนั้น.

บทว่า ทายกา ได้แก่ ผู้ให้ คือ ผู้บริจาค ปัจจัยมีจีวร เป็นต้น.
อธิบายว่า ผู้สละคือตัดกิเลสมีโลภะเป็นต้น ในสันดานของตน
โดยการบริจาคปัจจัยมีจีวรเป็นต้นนั้น อีกอย่างหนึ่ง ผู้ชำระและ
ผู้รักษา สันดานของตน จากกิเลสมีความโลภเป็นต้นนั้น. บทว่า
สฺสกูปมา ได้แก่ เสมือนชาวนา. ชาวนา ไถนาข้าวสาลีเป็นต้น
เมื่อไม่ประมาท ด้วยกิจมีการหว่าน การไขน้ำเข้า การเปิดน้ำออก
การปักดำ และการรักษา เป็นต้น ตามควรแก่เวลา ย่อมได้รับผล
แห่งข้าวกล้า อันโอฬารและไพบูลย์ ฉันใด แม้ทายกก็ฉันนั้น เมื่อ
ไม่ประมาทด้วยการบริจาคไทยธรรม และการปรนนิบัติในพระ-
อรหันต์ทั้งหลาย ย่อมได้รับผลแห่งทานอันโอฬารและไพบูลย์.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่าทายกและทายิกา เปรียบด้วยชาวนา
ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า พีชูปมํ เทยฺยธมฺมํ ท่านกล่าวด้วยลิงควิปปลาส,
อธิบายว่า ไทยธรรมเป็นเหมือนพืช. จริงอยู่ คำว่า เทยฺยธมฺมํ นี้
เป็นชื่อของวัตถุที่จะพึงให้ 10 อย่าง มีข้าวและน้ำเป็นต้น. บทว่า
เอตฺโต นิพฺพตฺตเต ผลํ ความว่า ผลแห่งทาน ย่อมบังเกิด และเกิดขึ้น
จากการบริจาคไทยธรรมของทายกแก่ปฏิคาหกนั้น ละย่อมเป็นไป
ด้วยอำนาจการสืบเนื่องตลอดกาลนาน.
ก็ในที่นี้ เพราะเหตุวัตถุมีข้าวและน้ำเป็นต้น ที่จัดแต่งด้วย
เจตนาเครื่องบริจาค ไม่ใช่ภาวะแห่งวัตถุนอกนี้ เพราะฉะนั้น ท่าน
จึงจัดไทยธรรมด้วยศัพท์ว่า พีชูปมํ เทยฺยธมฺมํ ดังนี้. เพราะเหตุนั้น

พึงเห็นเจตนาเครื่องบริจาค ซึ่งมีไทยธรรมวัตถุเป็นอารมณ์นั่นแหละ
ว่าเป็นพืช โดยอ้างถึงไทยธรรม. จริงอยู่ เจตนาเครื่องบริจาคนั้น
ให้สำเร็จผลต่างด้วยปฏิสนธิเป็นต้น และต่างด้วยอารมณ์อันเป็น
นิสสัยปัจจัย แห่งปฏิสนธิเป็นต้นนั้น ไม่ใช่ไทยธรรมแล.
บทว่า เอตํ พีชํ กสี เขตฺตํ ได้แก่ พืชตามที่หว่านแล้ว
และนาตามที่กล่าวแล้ว. อธิบายว่า กสิ กล่าวคือประโยคในการ
หว่านพืชนั้น ในนานั้น. การหว่านทั้ง 3 อย่างนั้น จำปรารถนา
เพราะฉะนั้นท่านจงกล่าวว่า เปตานํ ทายกสฺส จ เป็นต้น. ถ้าทายก
ให้ทานอุทิศให้เปรตทั้งหลาย. แก่พวกเปรต และทายก. ถ้าไม่ให้
ทานอุทิศให้พวกเปรต, อธิบายว่า พืชนั้น การหว่านนั้น และนานั้น
ย่อมมีเพื่อความอุปการะแก่ทายกเท่านั้น. บัดนี้ เพื่อจะแสดงถึง
อุปการะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พวกเปรต ย่อมบริโภคผลนั้น ผู้ให้
ย่อมเจริญด้วยบุญ
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ เปตา ปริภุญฺชนฺติ ความว่า
เมื่อทายก ถวายทานอุทิศพวกเปรต เมื่อนา การหว่าน และพืช
ตามที่กล่าวแล้วสมบูรณ์ และมีการอนุโมทนา พวกเปรตย่อมบริโภค
ผลทานที่สำเร็จแก่เปรต บทว่า ทาตา ปญฺเญน วฑฺฒติ ความว่า
แต่ผู้ให้ ย่อมเจริญด้วยผลแห่งบุญมีโภคสมบัติเป็นต้น ในเทวดาและ
มนุษย์ อันมีบุญที่สำเร็จจากทานของตนเป็นนิมิต. จริงอยู่ แม้ผล
แห่งบุญ ท่านก็เรียกว่า บุญ ในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อน ภิกษุ

ทั้งหลาย บุญนี้ ย่อมเจริญอย่างนี้ เพราะเหตุแห่งการสมาทาน
กุศลธรรม.
บทว่า อิเธว กุสลํ กตฺวา ความว่า สั่งสมบุญอันสำเร็จ
ด้วยทาน ด้วยอำนาจการอุทิศแก่พวกเปรต ชื่อว่า กุศล เพราะ
อรรถว่า ไม่มีโทษและมีสุขเป็นผล ในอัตตภาพนี้เอง. บทว่า
เปเต จ ปฏิปูชิย ความว่า ต้อนรับด้วยทานอุทิศเปรต ให้เปรต
เหล่านั้น พ้นจากทุกข์ที่เสวยอยู่. จริงอยู่ ทานที่ให้อุทิศเปรต เป็น
อันชื่อว่า บูชา เปรต เหล่านั้น. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ก็การบูชา ที่พวกญาติ ทำแล้วแก่พวกเรา และว่า การบูชา อัน
ยิ่งใหญ่ ที่พวกญาติทำแล้ว แก่พวกเปรต. ด้วย ศัพท์ ในบทว่า
เปเต จ นี้ จัดเข้าในอานิสงฆ์แห่งทาน ที่เป็นปัจจุบัน มีอาทิอย่างนี้
ว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ เป็นที่ถึงใจ เป็นที่ไว้วางใจ
เป็นผู้ยกย่อง เป็นผู้ที่ควรเคารพ และเป็นผู้อันวิญญูชนควรสรรเสริญ
ควรระบุถึง. บทว่า สคฺคญฺจ กมติฏฺฐานํ กมฺมํ กตฺวาน ภทฺทกํ
ความว่า กระทำกัลยาณกรรม คือกุคลกรรม ย่อมก้าวถึง คือเข้าถึง
ด้วยอำนาจการเข้าถึงเทวโลก อันเป็นสถานที่เกิดของพวกตน
ได้ทำบุญไว้ อันได้นามว่า สวรรค์ เพราะมีอารมณ์ดี ด้วยฐานะ
10 ประการ มี อายุทิพย์ เป็นต้น.
ก็ในบทเหล่านี้ ท่านกล่าวว่า ทำกุศลแล้วกล่าวซ้ำว่า อัน
กระทำกรรมดี พึงเห็นว่า เพื่อจะแสดงว่า แม้การบริจาคธรรม
เป็นทาน โดยการให้ส่วนบุญ เหมือนการบริจาคไทยธรรม จักเป็น

กุศลกรรมอันสำเร็จด้วยทานเหมือนกัน. ก็ในที่นี้ อาจารย์บางพวก
กล่าวว่า พระอรหันต์ ท่านประสงค์เอาว่า เปรต. คำนั้นเป็นเพียง
มติของเกจิอาจารย์เหล่านั้น เพราะที่มาว่าพระขีณาสพนั้น เป็น
เปรตไม่มีเลย เพราะพระขีณาสพเหล่านั้น ไม่ประกอบภาวะ
มีพืชเป็นต้น เหมือนทายก และเพราะผู้เกิดในกำเนิดเปรตมีภาวะ
มีพืชเป็นต้นประกอบไว้.
ในเวลาจบเทศนา สัตว์ 84,000 ตั้งต้นแต่เทพบุตรและ
นางสุลสา ได้ตรัสรู้ธรรมแล้วแล.
จบ อรรถกถาเขตตูปมาเปตวัตถุที่ 1

2. สูกรเปตวัตถุ



ว่าด้วยกายงามปากเหม็น



ท่านพระนารทะถามเปรตตนหนึ่งว่า
[87] กายของท่านล้วนมีสีเหมือนทองคำ รัศมี
กายของท่าน สว่างไสวไปทั่วทุกทิศ แต่หน้า
ของท่านเหมือนหน้าสุกร เมื่อก่อนท่านได้ทำ
กรรมอะไรไว้
เปรตนั้นตอบว่า
ข้าแต่พระนารทะ เมื่อก่อนข้าพเจ้าได้
สำรวมกาย แต่ไม่ได้สำรวมวาจา เพราะเหตุนั้น
รัศมีกายของข้าพเจ้าจึงเป็นเช่นกันที่ท่านเห็นอยู่
นั้น เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวกะท่าน สรีระ
ของข้าพเจ้าท่านเห็นเองแล้ว ขอท่านอย่าทำบาป
ด้วยปาก อย่าให้หน้าสุกรเกิดมีแก่ท่าน.
จบ สูกรเปตวัตถุ

อรรถกถาสูกรเปตวัตถุ 2



เมื่อพระศาสดา ทรงอาศัยกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ใน
พระเวฬุวัน กลันทกนิวาปวิหาร ทรงปรารภเปรตผู้มีหน้าเหมือน
สุกรตนหนึ่ง จึงตรัสคำเริ่มต้นว่า กาโย เต สพฺพโส วณฺโณ ดังนี้.